บทความไฟฉุกเฉิน Emergency Light.
ไฟฉุกเฉิน (Emergency Light)
จุดประสงค์การใช้ทำงาน ไฟฉุกเฉินคือ ใช้เป็นเครื่องมือให้แสงสว่างในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยเครื่อง
จะส่องสว่างอัตโนมัติ เพื่อให้หน่วยงานมีแสงสว่างในเวลากลางคืน
หลักการทำงานของไฟฉุกเฉินคือ
เป็นอุปกรณ์ที่เก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ ซึ่งแบตเตอรี่จะมี 2 แบบ คือ แบบชนิดเติมน้ำ
กลั่น และชนิดแห้งไม่ต้องเติมน้ำกลั่น และเมื่อไฟฟ้าดับจะใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ไป On หน้า Contact
ของ Relay และจะทำให้หลอดไฟสว่างเมื่อมีกระแสไฟฟ้าจ่ายให้ไฟฉุกเฉินก็จะมีวงจรลดแรงดันไฟฟ้า
และแปลงกระแสไฟฟ้าให้เป็นกระแส DC เพื่อประจุให้แบตเตอรี่และมีวงจร Off หน้า Concat relay เพื่อ
ไม่ให้หลอดไฟสว่าง
ขั้นตอนการใช้งานที่ถูกต้อง
ก่อนใช้งาน
- ควรศึกษาคู่มือการใช้งานแต่ละยี่ห้อให้เข้าใจ
- การติดตั้งไฟฉุกเฉิน ควรคำนึงถึงชนิดของแบตเตอรี่ของไฟฉุกเฉินนั้น ๆ เช่นถ้าแบตเตอรี่
แบบเติมน้ำกลั่น ควรจะติดตั้งบริเวณทางเดินหรือที่โล่ง หรือพื้นที่ที่มีการระบายอากาศเป็น
อย่างดีเพราะตลอดเวลาที่มีการประจุไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่จะมีไอตะกั่วระเหยออกมาเป็น
อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจถ้านำไปติดตั้งในห้องที่มีอากาศถ่ายเทไม่เพียงพอ ในห้องที่มี
อากาศถ่ายเทไม่ดีหรือห้องที่เป็นระบบปิดควรติดตั้งไฟฉุกเฉินแบบชนิดแบตเตอรี่แห้ง
ระหว่างการใช้งาน
- ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นต้องตรวจสอบระดับน้ำกลั่นทุก ๆ 1 เดือน
- ทดสอบการใช้งานว่าเครื่องสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่โดยกดปุ่ม test ทุก ๆ 1 เดือน ว่าหลอดไฟติดหรือไม่ ถ้าเป็นรุ่นที่ไม่มีปุ่ม test ให้ถอดปลั๊กไฟฟ้า
- ถ้าไฟดับในเวลากลางวัน แล้วมีใครปิดสวิทซ์ เพื่อไม่ให้หลอดไฟสว่างเมื่อไฟฟ้าจ่ายเป็นปกติ แล้วให้เปิดสวิทซ์เพราะมิเช่นนั้น ไฟฉุกเฉินจะไม่ประจุไฟเข้าแบตเตอรี่
- ควรให้แบตเตอรี่มีการคายประจุไฟฟ้าจนหมดเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่โดยเปิด เครื่องทิ้งไว้ประมาณ 6 เดือนต่อครั้ง
การบำรุงรักษาไฟฉุกเฉิน
- ทำความสะอาดดวงโคม ทุก 2 สัปดาห์
- ตรวจสอบระดับน้ำกลั่น เติมน้ำกลั่น ทุก 1 เดือน
- ทดสอบการทำงานของเครื่อง test เครื่อง ทุก ๆ 1 เดือน
- คายประจุแบตเตอรี่ให้หมด ทุก ๆ 6 เดือน
ข้อควรระวังในการใช้งานไฟฉุกเฉิน
1. ไม่ควรติดตั้งไฟฉุกเฉินชนิดแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น ไว้บริเวณที่มีอากาศถ่ายเทไม่ดีเพราะจะทำ ให้ไอตะกั่วระเหยกระจายในอากาศ เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ
2. การติดตั้งไฟฉุกเฉิน ต้องมั่นคงแข็งแรง เพราะแบตเตอรี่จะมีน้ำหนักมากอาจจะร่วงหล่นเป็นอันตรายได้
3. ควรเสียบปลั๊กไฟฟ้าเพื่อประจุไฟฟ้าให้แบตเตอรี่เต็มอยู่เสมอ พร้อมใช้งานตลอดเวลาเมื่อไฟฟ้าปกติดับ
ไฟฉุกเฉิน (Emergency Light), ป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน (Emergency Exit sign) ไฟฉุกเฉิน LED, ป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน LED
ไฟฉุกเฉิน (Emergency light) เหมาะสำหรับติดตั้งภายในตัวอาคาร สำนักงาน โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟดับ หรือไฟหลักจากการไฟฟ้าล้มเหลว โคมไฟฉุกเฉินจะติดสว่างขึ้นมาอัตโนมัติ ภายใน 1-3วินาที โดยอาศัยกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ BATTERY ซึ่งจะชาร์จอยู่กับไฟบ้านตลอดเวลา โดยตัวไฟฉุกเฉินจะชาร์จพลังงานในตอนที่ไฟฟ้าปกติ หากเกิดเหตุการณ์ไฟดับตัวไฟฉุกเฉินจะดึงพลังงานที่ชาร์จไว้ใน BATTERY ออกมาใช้ทันที นับเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ต้องมีติดอาคาร สำนักงานไว้ เพื่อพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไฟดับ
ในปัจจุบันมีกฎหมายออกมาควบคุมให้อาคาร หอพัก สำนักงานต่างๆ ต้องควบคุมให้มีการติดตั้งโคมไฟฉุกเฉินไว้ เพื่อป้องอุบัติเหตุต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่อยู่ในอาคาร เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟดับขึ้นโดยในทุก ๆ อาคาร ทุก ๆ สถานที่ นอกจากอุปกรณ์ป้องกันและระงับอัคคีภัยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมีก็คือ ไฟฉุกเฉิน (Emergency Light) ที่จะติดตั้งอยู่ตามบริเวณทางเดิน หรือทางออกฉุกเฉิน แล้วไฟฉุกเฉิน
ไฟฉุกเฉิน คือ เครื่องมือให้แสงสว่างในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยเครื่องจะส่องสว่างอัตโนมัติ เมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้อง หรือจับสัญญาณได้ว่า บริเวณดังกล่าวมีค่าความสว่างต่ำกว่าที่ตั้งค่าไว้ (ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันการใช้งานของแต่ละรุ่น) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อยู่ในอาคารสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้อย่างชัดเจน นำทางไปยังป้ายทางออกฉุกเฉิน และอพยพออกจากอาคารได้อย่างปลอดภัย
ตัวอย่างบริเวณที่ต้องมีโคมไฟฉุกเฉินตามมาตรฐานการติดตั้งไฟฉุกเฉิน
เส้นทางหนีภัย หรือทางหนีไฟ, บริเวณทางออกอาคาร, บริเวณภายนอกอาคารทางแยก และทางเลี้ยวในอาคาร, พื้นที่เปลี่ยนระดับ, พื้นที่ปฏิบัติงานของพนักงานดับเพลิงเจ้าหน้าที่พนักงานกู้ภัยในลิฟต์ดับเพลิง, บริเวณพื้นที่งานอันตรายต่าง ๆ, บริเวณห้องน้ำ บันไดเลื่อน และทางเลื่อน
โดยที่โคมไฟฉุกเฉิน จะมีแบตเตอรี่เป็นแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้าสำรอง โดยแบตเตอรี่ และเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับ โคมไฟฉุกเฉินจะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการส่องสว่าง ซึ่งระยะเวลาการส่องสว่างจะแตกต่างกันไปตามรุ่นของโคมไฟฉุกเฉินและขนาดแบตเตอรี่ที่ใช้ แต่โดยส่วนใหญ่จะต้องส่องสว่างอยู่ได้นาน 2 ชั่วโมงขึ้นไปตามมาตรฐาน กำหนด วสท.
ในปัจจุบัน มีโคมไฟฉุกเฉินจัดจำหน่ายหลายแบบ แต่ละแบบจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป เป็นโคมไฟฉุกเฉินที่ได้รับความนิยม และใช้งานกันทั่วไป เพราะให้แสงสว่างได้สูง แต่ใช้พลังงานไฟฟ้ากำลังวัตต์ต่ำมาก มีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถให้แสงสว่างอย่างต่อเนื่องนาน 2 – 3 ชั่วโมง โดยจะนำมาติดตั้งแบบแขวนผนังตามจุดสำคัญต่าง ๆ ของอาคาร
โคมไฟฉุกเฉิน โดยส่วนใหญ่ ปัจจุบันจะมาพร้อมกับระบบ Auto Check ที่คอยตรวจเช็กสมรรถนะของตัวเครื่องและแจ้งเตือนความผิดปกติอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่ หลอดไฟ ฟิวส์ และวงจรแสงสว่าง ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าโคมไฟฉุกเฉินจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับ ที่สำคัญยังมีอายุการใช้งานยาวนานด้วยระบบการชาร์จ ที่ช่วยปกป้องกระบวนการชาร์จแบตเตอรี่อย่างสมบูรณ์
เลือกซื้อไฟฉุกเฉินให้คุ้มค่า ต้องพิจารณาอะไรบ้าง?
สำหรับคนที่ไม่เคยซื้อโคมไฟฟ้าฉุกเฉินมาใช้งาน อาจไม่รู้ว่าควรเลือกซื้อโคมไฟฟ้าฉุกเฉินอย่างไรดี เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อโคมไฟฉุกเฉินมาใช้งานอย่างคุ้มค่า เรามีคำแนะนำในการเลือกซื้อโคมไฟฟ้าฉุกเฉินมาฝาก สามารถเลือกซื้อได้ตามหัวข้อเหล่านี้เลย
การให้แสงสว่าง : โคมไฟฉุกเฉินแบบ 2 หัวโคม จะกระจายแสงได้ดีกว่าโคมไฟฉุกเฉินแบบเดี่ยว
บริเวณที่ติดตั้ง : โคมไฟฉุกเฉินแต่ละแบบจะเหมาะกับการติดตั้งบริเวณที่แตกต่างกัน เช่น หากต้องการติดตั้งบริเวณทางเดินของอาคาร จะแนะนำให้เลือกโคมไฟฉุกเฉินแบบซ่อนฝ้า หรือดาวน์ไลท์ จะเหมาะมากกว่าโคมไฟฉุกเฉินแบบแขวนผนัง เป็นต้น
ระยะเวลาในการส่องสว่าง : แนะนำให้เลือกโคมไฟฉุกเฉินที่สามารถส่องสว่างได้นานมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้น
มาตรฐานของโคมไฟฉุกเฉิน : เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน แนะนำให้เลือกซื้อโคมไฟฉุกเฉินที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสินค้าต่าง ๆ ทั้งตัวเครื่องและแบตเตอรี่ไฟฉุกเฉิน เช่น มาตรฐาน มอก., CE Mark หรือ Rohs Mar เป็นต้น
การรับประกันสินค้า : เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากโคมไฟฉุกเฉินมีอายุการใช้งานหลายปี หากไม่มีการรับประกันสินค้า หรือการดูแลหลังการขาย เมื่อตัวเครื่องขัดข้องก็อาจเกิดปัญหา ไม่สามารถหาคนมาซ่อมแซมได้
วิธีดูแลโคมไฟฉุกเฉินอย่างเหมาะสม
วิธีดูแลโคมไฟฉุกเฉินให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น มีดังนี้
การเก็บรักษาโคมไฟฟ้าฉุกเฉิน ควรเก็บในอุณหภูมิห้องที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียส และทุก ๆ 3 เดือนควรนำโคมไฟฉุกเฉินมาทำการชาร์จประจุแบตเตอรี่ให้เต็ม เพื่อถนอมรักษาคุณภาพแบตเตอรี่
หลังจากที่ติดตั้งโคมไฟฟ้าฉุกเฉินแล้ว แนะนำให้เสียบปลั๊กไฟฟ้า เพื่อประจุไฟฟ้าให้แบตเตอรี่เต็มอยู่เสมอ พร้อมใช้งานเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับ
ข้อควรระวังในการติดตั้งไฟฉุกเฉิน มีดังนี้
ควรติดตั้งโคมไฟฟ้าฉุกเฉินภายในอาคาร ปราศจากแสงแดดกระทบโดยตรง ไม่ควรติดตั้งบริเวณที่เปียกชื้น หรือมีอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส เพราะอาจส่งผลกระทบต่ออายุการใช้งานของโคมไฟฟ้าฉุกเฉินได้
หากใช้ไฟฉุกเฉินที่ใช้แบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น ไม่ควรติดตั้งในบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เนื่องจากไอตะกั่วที่ระเหยจากแบตเตอรี่จะกระจายในอากาศ และเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจได้
ควรติดตั้งโคมไฟฟ้าฉุกเฉินในบริเวณที่มั่นคง และแข็งแรง เนื่องจากแบตเตอรี่มักมีน้ำหนักมาก อาจร่วงหล่นลงมา และเป็นอันตรายกับผู้ใช้อาคารได้
เครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน: ความสำคัญและการเลือกใช้อย่างเหมาะสม
ในยุคที่ความปลอดภัยของคนในอาคารเป็นสิ่งสำคัญ การติดตั้งเครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉินเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือเหตุฉุกเฉินด้านความปลอดภัยอื่น ๆ ซึ่งเครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟจะช่วยนำทางและแจ้งเตือนให้คนในอาคารออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
เครื่องไฟฉุกเฉิน คืออะไร?
เครื่องไฟฉุกเฉินเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อให้แสงสว่างในกรณีที่ไฟฟ้าหลักขัดข้อง โดยปกติจะทำงานอัตโนมัติเมื่อไฟฟ้าหลักดับและสามารถส่องสว่างนานหลายชั่วโมงตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น 1-3 ชั่วโมง เพื่อให้คนในอาคารสามารถหาเส้นทางออกได้อย่างปลอดภัย
ป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน คืออะไร?
ป้ายไฟทางออกฉุกเฉินเป็นป้ายที่ติดตั้งอยู่ในบริเวณสำคัญของอาคาร เช่น ห้องโถง ทางเดิน บันได และทางออกหลัก ซึ่งจะมีไฟส่องสว่างเพื่อชี้แนวทางออกในกรณีฉุกเฉิน ป้ายนี้ควรมีความชัดเจน อ่านง่าย และทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นและเข้าใจง่ายในเวลาที่จำเป็น
ความสำคัญของเครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน
- เพิ่มความปลอดภัย: รองรับการขึ้นลงในพื้นที่อับ หรือในกรณีไฟดับ
- ลดความตื่นตระหนก: ช่วยให้คนในอาคารสามารถหาเส้นทางออกได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
- เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐาน: การติดตั้งอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของหน่วยงานความปลอดภัย เช่น มอก. หรือ กองบังคับบัญชาไฟฟ้า
การเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉินที่เหมาะสม
- เลือกอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน มอก. หรือมาตรฐานสากล เช่น CE, UL
- เลือกความสว่างที่เพียงพอในพื้นที่ใช้งาน
- คำนึงถึงความสามารถในการใช้งานต่อเนื่องอย่างน้อย 1-3 ชั่วโมง
- ติดตั้งในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนและง่ายต่อการเข้าถึง
- ควรมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นประจำเพื่อความพร้อมใช้งานเสมอ
สรุป
เครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉินเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในอาคาร ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ติดตั้งอย่างถูกต้อง และดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพในเวลาที่ต้องการ
ป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน: ความจำเป็นและการเลือกใช้อย่างมืออาชีพเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ในยุคปัจจุบัน ความปลอดภัยของผู้ใช้งานภายในอาคารเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจละเลยโดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น เกิดไฟไหม้ น้ำรั่วไหล หรือเหตุร้ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน การติดตั้งป้ายไฟทางออกฉุกเฉินจึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่สำคัญและจำเป็น เพื่อให้บุคคลภายในอาคารสามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ความสำคัญของป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน
- นำทางในเวลาระดับวิกฤติ: เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นและตัดสินใจเดินไปยังทางออกได้ทันที
- สร้างความมั่นใจและลดความตื่นตระหนก: ป้ายไฟที่ชัดเจนและสว่างเพียงพอ สร้างความเข้าใจและความมั่นใจในทางออก ทำให้การอพยพเป็นไปอย่างเป็นระเบียบ
- ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสากล: การติดตั้งป้ายไฟฉุกเฉินเป็นข้อกำหนดที่กฎหมายกำหนดไว้ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ตามมาตรฐาน มอก. และกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอาคาร
ทำไมป้ายไฟทางออกฉุกเฉินจึงมีความจำเป็น?
- รองรับการดับไฟและเหตุการณ์คาดไม่ถึง: ในสถานการณ์ที่แสงสว่างลดลงหรือไฟดับ ป้ายไฟช่วยให้เส้นทางออกสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
- ลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ: ช่วยป้องกันการบาดเจ็บหรือการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินทางในทางที่ไม่แน่นอน
- สนับสนุนการอพยพในเวลาจำกัด: ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การมีป้ายไฟที่สมบูรณ์และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพิ่มความรวดเร็วในการอพยพออกจากอาคาร
การเลือกใช้งานป้ายไฟทางออกฉุกเฉินอย่างมืออาชีพ
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน: ควรเลือกป้ายไฟที่ได้รับการรับรอง มอก. หรือมาตรฐานสากล เช่น CE, UL เพื่อความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย
- พิจารณาความสว่างและระยะมองเห็น: ควรมีความสว่างเพียงพอในสภาพแวดล้อมที่มืดหรือเวลาที่ไฟดับ
- ติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม: ควรอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ชัดเจนจากทุกมุมของห้องหรืออาคาร และสามารถมองเห็นได้ในทุกช่วงเวลาที่มีการเคลื่อนย้าย
- ดูแลและบำรุงรักษาเป็นประจำ: ตรวจสอบความสมบูรณ์ของไฟและความสามารถในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมใช้งานในยามฉุกเฉิน
สรุป
ป้ายไฟทางออกฉุกเฉินเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ช่วยสร้างความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการอพยพในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากเลือกใช้อย่างถูกวิธีและได้รับการดูแลอย่างดี จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยชีวิตและลดความเสี่ยงจากเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ประกอบการ เจ้าของอาคาร หรือนักออกแบบความปลอดภัย แนะนำให้เลือกป้ายไฟที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของทุกชีวิตในอาคาร
ไฟฉุกเฉินแบบรวมศูนย์ (Central Battery): ความจำเป็นและการเลือกใช้งาน
ไฟฉุกเฉินคืออะไร?
ไฟฉุกเฉิน (Emergency Lighting) คือระบบแสงสว่างสำรองที่ทำงานอัตโนมัติเมื่อระบบไฟฟ้าหลักขัดข้อง ช่วยให้ผู้คนสามารถอพยพได้อย่างปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้, ไฟดับ, หรืออุบัติเหตุทางไฟฟ้า
ในยุคที่ความปลอดภัยในอาคารถือเป็นมาตรฐานสำคัญ ระบบไฟฉุกเฉินจึงไม่ใช่ "ทางเลือก" แต่เป็น"ความจำเป็น"โดยเฉพาะในอาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล, ห้างสรรพสินค้า, โรงเรียน หรือโรงงานอุตสาหกรรม
ไฟฉุกเฉินแบบรวมศูนย์ (Central Battery) คืออะไร?
ระบบไฟฉุกเฉินแบบรวมศูนย์ หรือCentral Battery System เป็นระบบที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพียงชุดเดียวในการจ่ายไฟให้กับไฟฉุกเฉินทุกดวงในอาคาร แทนการใช้แบตเตอรี่เฉพาะแต่ละดวงเหมือนในระบบทั่วไป (Self-contained)
ส่วนประกอบหลักของระบบ Central Battery:
- แบตเตอรี่ส่วนกลาง (Central Battery Bank)
- ตู้ควบคุมระบบ (Control Panel)
- สายส่งและตู้จ่าย (Distribution Units)
- โคมไฟฉุกเฉิน (Emergency Luminaires)
ข้อดีของระบบ Central Battery
- ✅ บำรุงรักษาง่าย – ตรวจเช็คแบตเตอรี่เพียงจุดเดียว ไม่ต้องดูแลแต่ละดวง
- ✅ อายุการใช้งานยาว – แบตเตอรี่ส่วนกลางมักเป็นชนิดที่ทนทาน เช่น VRLA หรือ LiFePO₄
- ✅ ความปลอดภัยสูง – ควบคุมการทำงานแบบศูนย์กลาง ลดโอกาสเกิดความผิดพลาด
- ✅ ตอบโจทย์อาคารขนาดใหญ่ – เหมาะกับอาคารที่มีระบบไฟฉุกเฉินหลายจุด
- ✅ สามารถติดตั้งระบบตรวจสอบอัตโนมัติ (Self-test system) ได้สะดวก
ความจำเป็นของไฟฉุกเฉินในอาคาร
ตามกฎหมายไทยเช่นพระราชบัญญัติควบคุมอาคารและมาตรฐานการออกแบบอาคารของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)การติดตั้งไฟฉุกเฉินในอาคารสาธารณะถือเป็นข้อบังคับ เพื่อ:
- ป้องกันความเสียหายจากอุบัติเหตุ
- รองรับการอพยพฉุกเฉิน
- สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้อาคาร
การเลือกใช้งานระบบไฟฉุกเฉินแบบ Central Battery
เหมาะกับใคร?
- อาคารที่มีขนาดใหญ่หรือมีหลายชั้น
- อาคารที่ต้องการระบบควบคุมแบบรวมศูนย์
- องค์กรที่มีงบประมาณสำหรับการลงทุนระยะยาว
ปัจจัยในการเลือก:
- ขนาดของระบบ – ขึ้นอยู่กับจำนวนโคมและระยะเวลาการทำงานที่ต้องการ
- ชนิดของแบตเตอรี่ – เช่น AGM, GEL หรือ Lithium
- มาตรฐานที่รองรับ – เช่น EN 50171, ISO, มอก. 1102-2538
- ฟังก์ชันเสริม – ระบบ Monitoring, Self-test, Remote control
- ผู้ผลิตและบริการหลังการขาย – ควรเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีทีมซัพพอร์ตในประเทศ
สรุป
ไฟฉุกเฉินแบบรวมศูนย์ (Central Battery System) เป็นโซลูชันที่เหมาะสำหรับองค์กรหรืออาคารที่ต้องการระบบไฟฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพสูง ควบคุมง่าย และลดภาระในการบำรุงรักษาเมื่อเลือกใช้ร่วมกับแบรนด์ที่เชื่อถือได้และทีมช่างที่มีความชำนาญ ระบบนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างความปลอดภัยที่มั่นคงของอาคารคุณ
มาตรฐานความปลอดภัยของไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉินในอาคาร
ทำไมไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกฉุกเฉินถึงสำคัญ?
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้, ไฟฟ้าดับ, หรือ เหตุการณ์ภัยพิบัติ, ความสามารถในการอพยพคนออกจากอาคารอย่างปลอดภัยและรวดเร็วเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ระบบไฟฉุกเฉิน (Emergency Lighting) และป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน (Exit Signs) จึงถือเป็นองค์ประกอบหลักของ มาตรฐานความปลอดภัยในอาคาร ทั้งภาครัฐและเอกชน
ไฟฉุกเฉินและป้ายไฟฉุกเฉินต้องเป็นไปตามมาตรฐานอะไร?
1. มาตรฐาน มอก. (ไทย)
-
มอก. 1102-2538 – มาตรฐานโคมไฟฟ้าฉุกเฉิน
-
มอก. 1955-2551 – มาตรฐานป้ายแสดงทางหนีไฟ
-
มอก. 2430-2552 – การทดสอบระบบแสงสว่างฉุกเฉิน
2. มาตรฐานสากล (International Standards)
-
IEC 60598-2-22 – มาตรฐานโคมไฟฉุกเฉินที่ใช้กับแรงดันต่ำ
-
ISO 7010 – สัญลักษณ์ความปลอดภัยที่ใช้ในป้ายแสดงทางออก
-
EN 1838 – มาตรฐานการออกแบบความสว่างและแสงสว่างฉุกเฉิน
-
NFPA 101 (Life Safety Code) – จากสหรัฐอเมริกา ใช้ในโรงแรม/โรงงานขนาดใหญ่
องค์ประกอบของระบบที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
1. ระบบแหล่งจ่ายไฟสำรอง
-
ต้องสามารถเปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อไฟฟ้าหลักดับ
-
ต้องให้แสงสว่างได้อย่างน้อย 90 นาที ตามมาตรฐาน มอก. และ NFPA
2. ความสว่างของโคมไฟฉุกเฉิน
-
ความสว่างเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 ลักซ์ บริเวณเส้นทางหนีไฟ
-
พื้นที่บันไดหรือทางลาดต้องมีความสว่างเพิ่มขึ้นเพื่อความปลอดภัย
3. ป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน
-
ต้องมองเห็นได้ชัดเจน ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
-
มีลูกศรชี้ทิศทาง พร้อมข้อความ “ทางออก” หรือ “EXIT”
-
ต้องติดตั้งในตำแหน่งที่ชัดเจน เช่น เหนือประตู หน้าทางเดิน ทางแยก
4. ระบบตรวจสอบและบำรุงรักษา
-
ต้องสามารถตรวจสอบสถานะได้ (บางระบบมี Self-Test)
-
มีการตรวจสอบตามรอบเวลาที่กำหนด เช่น รายเดือน / รายปี
-
ควรบันทึกข้อมูลการบำรุงรักษาไว้เป็นหลักฐาน
ข้อกำหนดการติดตั้งไฟฉุกเฉินและป้ายไฟ
ตามประกาศของกรมโยธาธิการและผังเมือง (ประเทศไทย) รวมถึงข้อบังคับของ กฎหมายควบคุมอาคาร, การติดตั้งไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกฉุกเฉินถือเป็น "ข้อบังคับ" สำหรับอาคารที่เข้าข่าย ดังนี้:
-
อาคารที่มีพื้นที่เกิน 1,000 ตร.ม.
-
อาคารสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า
-
อาคารสำนักงานสูงเกิน 23 เมตร
-
โรงงาน และอาคารเก็บวัตถุอันตราย
ประโยชน์ของการติดตั้งไฟฉุกเฉินตามมาตรฐาน
✅ เพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สิน
✅ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย หากเกิดอุบัติเหตุ
✅ เพิ่มความเชื่อมั่นในอาคาร ต่อผู้ใช้งาน พนักงาน และลูกค้า
✅ ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานราชการได้ง่าย
✅ สามารถใช้เป็นเหตุผลในการลดเบี้ยประกันในบางกรณี
วิธีเลือกไฟฉุกเฉินและป้ายไฟให้ได้มาตรฐาน
-
✅ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่าน มาตรฐาน มอก. หรือ IEC
-
✅ มีใบรับรอง และใบตรวจสอบคุณภาพจากผู้ผลิต
-
✅ เลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และมีบริการหลังการขาย
-
✅ ใช้ผู้รับเหมาติดตั้งที่เข้าใจระบบความปลอดภัยในอาคาร
-
✅ ตรวจสอบความเข้ากันได้ของระบบไฟฉุกเฉินแบบ Self-contained หรือ Central Battery System
สรุป
ระบบไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน ไม่ใช่แค่ “ของตกแต่ง” แต่คือหัวใจของความปลอดภัยในอาคารทุกประเภท การออกแบบและติดตั้งระบบเหล่านี้ให้เป็นไปตามมาตรฐาน เช่น มอก., IEC, EN หรือ NFPA จะช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความมั่นใจ และสร้างความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตในอาคารของคุณ